ดัชนี

ดัชนีคืออะไร?

ดัชนีเป็นประเภทสินทรัพย์ที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่เทรดเดอร์ สําหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคย ดัชนีคือชุดของสินทรัพย์ที่ให้ข้อมูลราคาเฉลี่ยแก่เทรดเดอร์ ทําให้ง่ายต่อการติดตามความเคลื่อนไหวของราคาในตลาดหรืออุตสาหกรรม ดัชนีหุ้นเป็นดัชนีที่พบทั่วไปที่สุด โดยสามารถรวมหุ้นตามขนาดของบริษัท อุตสาหกรรม หรือลักษณะเฉพาะอื่นๆ ไว้ด้วยกัน

แต่ละประเทศมีดัชนีอย่างน้อยหนึ่งตัวตามหุ้นที่มีการเทรด และตลาดการเงินขนาดใหญ่ เช่นสหรัฐอเมริกาหรือสหราชอาณาจักร จะมีดัชนีที่แตกต่างกันมากมาย คุณจะพบว่าประเทศเศรษฐกิจหลักยังมีสิ่งที่เรียกว่า "benchmark indices" (ดัชนีเกณฑ์มาตรฐาน) ซึ่งรวมบริษัทรายใหญ่ที่สุดหรือสําคัญที่สุดไว้ด้วยกัน

ซึ่งหมายความว่า ดัชนีจะให้มุมมองอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับสภาพของตลาดการเงิน ทําให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวในอนาคตของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ได้

ดัชนียอดนิยม

มีดัชนียอดนิยมจํานวนมากจากทั่วโลก แม้ว่าดัชนีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจะเป็นดัชนีที่พบในสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึงดัชนี S&P 500 มาตรฐาน พร้อมกับดัชนี Nasdaq 100 และ Dow Jones Industrial 30 และเทรดเดอร์ยังสามารถพบโอกาสที่เป็นไปได้นอกสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน

ในสหราชอาณาจักร FTSE 100 และ FTSE 250 ได้รับความนิยมทั้งคู่ โดยตัวแรกจะมุ่งเน้นไปที่บริษัทข้ามชาติมากกว่า ส่วนตัวหลังจะมุ่งเน้นไปที่บริษัทในสหราชอาณาจักร ทั่วยุโรปมีดัชนียอดนิยมมากมาย ซึ่งรวมถึง DAX 30 ในเยอรมนี CAC 40 ในฝรั่งเศส และ FTSE MiB ในอิตาลี

ในภูมิภาคเอเชีย เราจะพบ Nikkei 225 ในญี่ปุ่น S&P/ASX 200 ในออสเตรเลีย และ Hang Seng ในฮ่องกง ซึ่งเป็นดัชนีที่ได้รับความนิยมสูงสุด

ฉันจะเทรดดัชนีได้อย่างไร?

ความจริงก็คือคุณไม่สามารถซื้อขายดัชนีได้โดยตรง ดัชนีเป็นเพียงการวัดสภาพตลาด ไม่ใช่ตราสารที่ซื้อขายเปลี่ยนมือได้จริง อย่างไรก็ตามมีวิธีการทางอื่นเกี่ยวกับประเด็นนี้

Exchange traded funds, หรือ ETF (กองทุนรวมดัชนี) ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานของดัชนีหลักส่วนใหญ่ทั่วโลก และนั่นวิธีการหนึ่งในการเทรดดัชนี ข้อเสียของการเทรด ETF คือค่าธรรมเนียมและค่าคอมมิชชั่นที่คุณอาจต้องจ่าย

อีกวิธีหนึ่งในการเทรดดัชนีคือการใช้สัญญาการเทรดส่วนต่าง (CFD) ซึ่งเป็นวิธีการเก็งกําไรจากการเปลี่ยนแปลงในค่าดัชนี

ผลกระทบของราคาดัชนี

การเปลี่ยนแปลงในค่าดัชนีเป็นเรื่องปกติ ค่าดัชนีได้รับผลกระทบจากราคาของหุ้นอ้างอิงที่ประกอบด้วยดัชนีต่างๆ เนื่องจากดัชนีสามารถคํานวณได้หลายวิธี (ตามมูลค่าตามราคาตลาด โดยการถ่วงน้ำหนักราคา ฯลฯ) การเปลี่ยนแปลงในค่าดัชนีจึงไม่ใช่อย่างที่คุณคาดหวังเสมอไป

ตัวอย่างเช่น Dow Jones Industrial Average มีการถ่วงน้ําหนักตามราคา โดยแต่ละส่วนประกอบจะมีการถ่วงน้ำหนักเท่าๆ กัน ซึ่งสร้างความผันผวนที่น่าสนใจ ตัวอย่างเช่น เมื่อหุ้นมีการแตกพาร์ มูลค่าของหุ้นก็จะลดลงเพื่อชดเชยการแตกนั้น และอาจมีผลกระทบต่อ DJIA หากหุ้นเป็นส่วนหนึ่งของดัชนีนั้น

ประโยชน์ของการเทรดดัชนี

แม้ว่าการเทรดหุ้นจะน่าสนใจ แต่เทรดเดอร์บางรายอาจชอบมุ่งที่จะเทรดดัชนีมากกว่า เนื่องจากมีประโยชน์ต่างๆ มากกมาย

ประโยชน์เหล่านี้รวมถึงความเสี่ยงที่ลดลงจากความหลากหลายของดัชนี การลดลงของความเสี่ยงสามารถช่วยให้ผลตอบแทนราบรื่นขึ้นในระยะยาว อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าความเสี่ยงนั้นก็ยังมีความเกี่ยวข้องอยู่เสมอแม้ว่ามันจะลดลงก็ตาม ข้อดีอีกประการหนึ่งของความหลากหลายนั้นก็คือให้การวัดผลการบริหารจัดการเรื่องเงินมากเท่าที่คุณไม่ได้ใส่เงินทั้งหมดไว้ในหุ้นตัวเดียว

หนึ่งในประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสําหรับการเทรดดัชนีอาจเป็นเรื่องลักษณะธรรมชาติและความสามารถที่เทรดเดอร์จำเป็นจะต้องอ่านการเคลื่อนไหวในดัชนีได้เป็นอย่างดี ดัชนีมีโอกาสน้อยที่จะเห็นการเคลื่อนไหวที่แปลกๆ และแม้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ ก็ตาม แต่ลักษณะดัชนีอย่างกว้างๆ ก็ยังคงมีการเคลื่อนไหวไม่มากเมื่อเทียบกับหุ้นแต่ละตัว

ข้อเสียของการเทรดดัชนี

เช่นเดียวกับเลเวอเรจที่เพิ่มผลกําไรที่อาจเกิดขึ้นในการเทรด CFD ดัชนี และก็ยังเพิ่มโอกาสการขาดทุนด้วยเช่นกัน ทําให้เลเวอเรจเป็นเหมือนดาบสองคม มีทั้งประโยชน์และข้อเสียเมื่อใช้เลเวอเรจไม่ถูกต้อง

ข้อเสียอีกประการหนึ่งซึ่งบ่อยครั้งที่เทรดเดอร์ CFD ดัชนีไม่ได้พิจารณาคือปริมาณการศึกษาค้นคว้าและความรู้ที่จําเป็นต้องมีในการทํานายการเคลื่อนไหวของดัชนีได้อย่างประสบความสำเร็จ ตลาดมีความซับซ้อนอย่างมากและไม่ใช่เรื่องแปลกที่เทรดเดอร์จะได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์การเมืองที่พวกเขาอาจไม่ได้พิจารณา